ประหยัดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยการวางแผนภาษี (Update 17 Apr 2011)
ความจริงแล้วการวางแผนภาษีนั้น ให้ประโยชน์กับเราหลายประการ และไม่ได้เป็นเรื่องยากจนเกินไป
ประโยชน์ของการวางแผนภาษีคือ
ลดภาระทางภาษีโดยจ่ายภาษีเท่าที่จำเป็นตามกฎหมายกำหนด
ลดความเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายแล้วต้องมาเสียเบี้ยปรับเงินเพิ่ม
เงินภาษีที่ประหยัดได้สามารถนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มค่าได้ต่อไป
การวางแผนภาษีล่วงหน้านั้น เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ที่รัฐมอบให้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การได้รับยกเว้นภาษี การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี การใช้สิทธิเครดิตภาษีคืน เป็นต้น
ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดูสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้กันที่ละเรื่อง
เรื่องแรก รายได้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
ถ้าเรารู้เรื่องนี้ เราก็ไม่ต้องคำนวณภาษีเกินอย่างผิดพลาด
รายได้ที่ได้รับการยกเว้น ได้แก่
ดอกเบี้ยที่ได้จากพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลรุ่นที่รัฐบาลกำหนด ดอกเบี้ยจาการฝากออมทรัพย์พิเศษปลอดภาษี ดอกเบี้ยเงินฝากสหกรณ์ประเภทอมทรพย์ ดอกเบี้ยและรางวัลจากสลากออมสิน/สลาก ธกส.
กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลากหลักทรัพย์ (ไม่รวมหุ้นกู้และพันธบัตร) กำไรจาการขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดอนุพันธ์ และกำไรจากการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม
เรื่องที่สอง การออมหรือการลงทุนที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ได้แก่
การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) และกองมุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) โดยผู้ลงทุนใน RMF สามารถหักค่าลดหย่อนภาษีไม่เกิน 15% ของเงินได้โดยเมื่อรวมกับเงินสะสมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว ไม่เกิน 500,000 บาท ส่วน LTF หักภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) สามารถหักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
ประกันชีวิต สามารถหักได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท แต่ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีอายุเกิน 10 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนด
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อที่อยู่อาศัย หักลดหย่อนตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
เงินบริจาคเพื่อสาธารณกุศล
เรื่องที่สาม เครดิตภาษี
เงินปันผลที่ได้จากการลงทุน ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้
ความจริงเราสามารถเลือกที่จะเสียภาษีเงินได้เงินปันผล ให้เท่ากับจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่ถูกหักไปแล้วโดยทั่วไปจะ 10% ซึ่งเราก็ไม่ต้องนำรายได้เงินปันผลมารวมเป็นเงินได้เพื่อคำนวณภาษี
แต่ถ้าดูกันจริงๆ แล้วเราในฐานะผู้ถือหุ้นเสียภาษีจากกำไรของกิจการที่เราไปลงทุน อาจสูงถึง 37% ของกำไร (มาจากภาษีนิติบุคคล 30% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%) ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่สูงที่สุดของบุคคลธรรมดา (ดูว่าเงินปันผลของกิจการที่จ่ายให้เรานั้นจ่ายจากกำไรที่กิจการเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราเท่าไรได้จากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินปันผล)
ดังนั้นถ้าเราเสียภาษีในอัตราน้อยกว่า 37% การขอคืนเครดิตภาษีเงินปันผล จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ
ถ้าเราต้องการเลือกขอเครดิตภาษีเงินปันผล ต้องทำดังนี้
คำนวณจำนวนเงินเครดิตภาษีเงินปันผลที่จะได้รับ
นำเงินปันผลและเครดิตภาษีไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษี
หลังจากที่นำเอารายได้พึงประเมินหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ ครบแล้ว ก็จะได้รายได้สุทธิที่จะไปคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
หลังจากที่ทราบตัวเลขภาษีที่ต้องชำระตามอัตราก้าวหน้าแล้ว เราก็จะนำเครดิตภาษีเงินปันผลและภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล (10% ของเงินปันผล ) มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระตามอัตราก้าวหน้า
เพียงเท่านี้เราก็สามารถวางแผนภาษีล่วงหน้า เพื่อบริหารจัดการภาษีด้วยการเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องและครบถ้วน แล้วยังเป็นการเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองด้วย